โรคเกล็ดเลือดต่ำจากภูมิคุ้มกัน คืออะไร 

14 มีนาคม 2565


โรคเกล็ดเลือดต่ำจากภูมิคุ้มกัน คืออะไร 

                คือ โรคเลือดออกง่ายชนิดหนึ่ง ซึ่งมีภาวะเกล็ดเลือดลดต่ำลง เป็นผลมาจากภูมิคุ้มกันทำลายเกล็ดเลือดของตนเอง ซึ่งในภาวะปกติ เกล็ดเลือดทำหน้าที่ในระบบการแข็งตัวของเลือด ดังนั้นเมื่อเกล็ดเลือดลดต่ำลง ก็จะทำให้เลือดออกง่ายขึ้น 

ผู้ป่วยเด็กจะมีอาการอย่างไร 

              ผู้ป่วยจะมีอาการเลือดออกเอง โดยไม่มีประวัติกระทบกระแทกใดๆ หรือ เมื่อเกิดอุบัติเหตุแล้วพบความรุนแรงของภาวะเลือดออกมากกว่าปกติ 

ผู้ป่วยจะมีภาวะเลือดออกอย่างเดียว โดยไม่มีภาวะไข้ ซีด ต่อมน้ำเหลืองโต หรือตับม้ามโต ตำแหน่งที่พบบ่อย เช่น รอยช้ำจ้ำเลือดตามร่างกาย จุดแดงใต้ผิวหนัง เลือดกำเดาออก เลือดออกตามไรฟัน หรือมีประจำเดือนมากกว่าปกติ 

ในผู้ป่วยที่มีเกล็ดเลือดต่ำมาก อาจพบเลือดออกในทางเดินอาหาร และระบบประสาท ซึ่งพบได้ไม่บ่อย

สาเหตุของโรค เกิดจากอะไร

เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายถูกกระตุ้นให้สร้างสารแอนติบอดี้ มาทำลายเกล็ดเลือดของตนเอง โดยส่วนใหญ่ ไม่ทราบสาเหตุชัดเจน ผู้ป่วยอาจมีประวัติการติดเชื้อไวรัส  หรือการได้รับวัคซีนบางชนิดนำมาก่อน 2-4 สัปดาห์ เกิดได้ในทุกช่วงอายุของเด็ก แต่พบได้บ่อยในช่วงอายุ 2-5 ปี

โรคเกล็ดเลือดต่ำจากภูมิคุ้มกัน รักษาอย่างไร 

หากผู้ป่วยมีเลือดออกน้อย และเกล็ดเลือดไม่ต่ำมาก สามารถติดตามอาการโดยไม่ใช้ยาได้   ทั้งนี้ แพทย์จะพิจารณาการรักษาตาม อาการเลือดออก โอกาสที่จะมีเลือดออกเพิ่มขึ้น ร่วมกับปริมาณเกล็ดเลือด  โดยยาหลักที่มีใช้ในประเทศไทย คือ ยากลุ่มสเตียรอยด์ (Corticosteroid)  และ ยาอิมมูโนโกลบูลินให้ทางเส้นเลือด (Intravenous immunoglobulin, IVIg) โดยเลือกตัวใดตัวหนึ่ง แต่หากมีอาการรุนแรงมาก ต้องเพิ่มเกล็ดเลือดอย่างรวดเร็ว แพทย์อาจใช้ยาท้งสองตัวร่วมกัน

 

ผู้ป่วยจะหายขาดจากโรคเกล็ดเลือดต่ำจากภูมิคุ้มกัน ได้หรือไม่

            ผู้ป่วยส่วนใหญ่ ร้อยละ 60-80 จะหายได้ภายใน 6-12 เดือนหลังได้รับการวินิจฉัย ผู้ป่วยส่วนน้อยร้อยละ 20 จะมีเกล็ดเลือดต่ำนานกว่า 1 ปี และการดำเนินโรคแบบเรื้อรัง ซึ่งต้องได้รับการดูแลต่อไป

ผู้ปกครองควรดูแลเด็กอย่างไร 

                ในภาวะเกล็ดเลือดต่ำ ผู้ปกครองควรนำบุตรหลาน มาตรวจกับแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ และดูแลไม่ให้ผู้ป่วยเล่นกีฬา หรือทำกิจกรรมที่มีการปะทะ หรือผาดโผนอันเสี่ยงจะก่อให้เกิดการบาดเจ็บได้ งดใช้ยาที่มีผลต่อการทำงานของเกล็ดเลือด เช่น ยาไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) ที่มักใช้ลดไข้สูงในเด็ก

หากมีผู้ป่วยมีอาการเลือดออกเพิ่มมากขึ้น ปวดศีรษะ ปวดท้อง หรือได้รับบาดเจ็บ ควรพามาพบแพทย์โดยเร็ว 

                หลังจากที่ปริมาณเกล็ดเลือดเพิ่มขึ้นเป็นปกติแล้ว  เด็กสามารถกลับไปทำกิจกรรมและเล่นกีฬาได้ตามปกติ

ข้อมูล ณ วันที่ 1.06.2021


พญ.เบญจมาศ ตันหยง

ความชำนาญ : กุมารเวชศาสตร์, โลหิตวิทยาและมะเร็งในเด็ก

ข้อมูลเพิ่มเติม

แพ็คเกจที่เกี่ยวข้อง

ดูทั้งหมด

ตรวจคุณภาพการนอนหลับที่บ้าน (Watch PAT)

ข้อมูลเพิ่มเติม

โปรแกรมฝังเข็มเพื่อผิวหน้ากระจ่างใส 5 ครั้ง

ข้อมูลเพิ่มเติม

โปรแกรมตรวจคัดกรอง "โรคมะเร็งตับ"

ข้อมูลเพิ่มเติม

วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์ (Fast track)

ข้อมูลเพิ่มเติม

IV DRIP ดริปวิตามิน

ข้อมูลเพิ่มเติม

โปรแกรมตรวจสุขภาพสำหรับเดินทางต่างประเทศ

ข้อมูลเพิ่มเติม

วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์

ข้อมูลเพิ่มเติม

วัคซีน Moderna สำหรับอายุ 12 ปีขึ้นไป

ข้อมูลเพิ่มเติม

ตรวจสุขภาพเด็กอายุ 4 - 6ปี

ข้อมูลเพิ่มเติม

ผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า 1 ข้าง 225,000 บาท

ข้อมูลเพิ่มเติม

โปรแกรมคลอดบุตร สมิติเวชชลบุรี

ข้อมูลเพิ่มเติม

โปรแกรมฟื้นฟูร่างกายหลังหายจากโควิด-19

ข้อมูลเพิ่มเติม

Long Covid (ตรวจสุขภาพหลังป่วยโควิด)

ข้อมูลเพิ่มเติม

โปรแกรมตรวจสุขภาพก่อนดำน้ำ

ข้อมูลเพิ่มเติม

โปรแกรมตรวจฮอร์โมนเพศหญิงภาวะประจำเดือนมาไม่ปกติ

ข้อมูลเพิ่มเติม

บทความที่เกี่ยวข้อง

ดูทั้งหมด

เมื่อลูกน้อย...เท้าบิดหมุนเข้าใน

เด็กที่เดินแล้วมีปลายเท้าชี้เข้าหากัน เกิดจากการบิดหมุนของขาตั้งแต่สะโพกลงมา มีลักษณะการเดินผิดปกติและปัญหาเรื่องความสวยงามของขาที่ผิดรูป การตัดรองเท้าอาจพิจารณาในรายที่เป็นมากจนเท้าสะดุดกันเองเวลาวิ่ง เด็กที่มีเท้าบิดหมุนเข้าใน เด็กที่เดินแล้วมีปลายเท้าชี้เข้าหากันเกิดจากการบิดหมุนของขาตั้งแต่สะโพกลงมา แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ต้นขา หน้าแข้ง และเท้า แต่ละส่วนมีแนวทางการตรวจติดตาม และรักษา แตกต่างกันเล็กน้อย การบิดหมุนของส่วนต้นขา พบมากที่สุด ส่วนใหญ่จะหายได้เอง ก่อนอายุ 10 ปี การดัดและการตัดรองเท้า ไม่ช่วยในการหาย พยายามเลี่ยงการนั่งในท่า W แต่ไม่จำเป็นต้องให้นั่งขัดสมาธิ ในเด็กที่ทำไม่ได้ อาจให้นั่งเหยียดขาแทนเวลานั่งพื้น การตัดรองเท้าอาจพิจารณาในรายที่เป็นมากจนเท้าสะดุดกันเองเวลาวิ่ง การผ่าตัดอาจไม่จำเป็นถ้าไม่มีปัญหาในการดำรงชีวิต และหากจะทำควรทำเมื่อเด็กโตมากแล้ว การบิดหมุนของหน้าแข้ง พบได้น้อยเมื่อเทียบกับบริเวณอื่น ส่วนใหญ่จะหายเองก่อนอายุ 4 ปี การรักษาเบื้องต้นเพียงติดตามอาการเท่านั้น การผ่าตัดอาจไม่จำเป็นถ้าไม่มีปัญหาในการดำรงชีวิต และหากจะทำควรทำเมื่อเด็กโตมากแล้ว การบิดหมุนที่เท้า พบได้ค่อนข้างบ่อย สังเกตได้จากเท้าจะโค้งคล้ายกล้วย ถ้าสามารถดัดได้ง่าย โอกาสหายเองสูง ถ้าดัดได้ยากอาจพิจารณาใส่เฝือกหรือตัดรองเท้าช่วย ส่วนใหญ่หายเองก่อน 4 ขวบ ในกรณีที่ยังเป็นจนโต อาจพิจารณาผ่าตัดในรายที่มีปัญหาการใส่รองเท้า และกังวลเรื่องความสวยงาม