โรคดาวน์ซินโดรม

29 มิถุนายน 2565


                โรคดาวน์ซินโดรม คืออะไร โรคดาวน์ซินโดรม (Down’s syndrome หรือ Down syndrome) หรือที่มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า กลุ่มอาการดาวน์ คือการเกิดความผิดปกติของสารพันธุกรรมที่เป็นมาตั้งแต่กำเนิด และเป็นโรคไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้เนื่องจากสาเหตุของโรคนั้นเกิดขึ้นจากความผิดปกติภายในโครโมโซม ซึ่งมีสาเหตุส่วนใหญ่มาจากการที่โครโมโซมคู่ที่ 21 เกิดความผิดปกติ ซึ่งในคนปกตินั้นจะมีโครโมโซมคู่ที่ 21 เพียง 2 แท่ง แต่ในกลุ่มผู้มีอาการดาวน์ซินโดรม นั้นจะมี 3 แท่ง หรือบางรายอาจจะมีอาการมาจากการย้ายที่ของโครโมโซมคู่ที่ 14 มายึดติดกับโครโมโซมคู่ที่ 21 เป็นต้น

              ปัจจุบันการตรวจเพื่อคัดกรองความผิดปกติของโครโมโซม โดยเฉพาะเรื่องของ down syndrome มีหลากหลายวิธี โดยขึ้นอยู่กับความเสี่ยงของการตั้งครรภ์ในแต่ละบุตรคน (เช่น อายุของหญิงตั้งครรภ์ ประวัติความผิดปกติทางพันธุกรรมของครอบครัว เป็นต้น)

 

การคัดกรองแบ่งออกเป็นการคัดกรองในไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ และไตรมาสที่สองของการตั้งครรภ์ ดังนี้

  • การคัดกรองในไตรมาสแรก ( 11 -13สัปดาห์ ) ประกอบไปด้วยการวัดความหนาหลังคอเด็ก  (NT) อย่างเดียวหรือ การเจาะเลือดเพื่อตรวจ PAPP-A, Beta HCG
  • การคัดกรองในไตรมาสที่สอง (14 -22สัปดาห์) ประกอบไปด้วยการเจาะตรวจ Triple test และ Quadruple test

  • การคัดกรองโดยใช้ผลตรวจของไตรมาสที่ และ  รวมกัน (Integrated test , Stepwise sequential test) โดยจะมีการเจาะในทั้ง 2 ไตรมาสของการตั้งครรภ์ และแปลผลครั้งเดียวในไตรมาสที่2

  • Fetal cell free DNA (Nifty)  (10 -22 สัปดาห์ ) เป็นการคัดกรองที่สามารถตรวจได้ในทั้งสองไตรมาส

    จากที่กล่าวมาเป็นการตรวจเพื่อคัดกรอง ไม่ใช่การตรวจเพื่อวินิจฉัย ภาวะความผิดปกติของโครโมโซม โดยมีค่าประสิทธิภาพการคัดกรองได้ดังนี้

                                 

                                  วิธีตรวจ       

       เปอร์เซ็นต์การตรวจพบ (detection rate %)

                  NT

                      64-70

                 NT,PAPP-A,BetaHCG

                     79-87

                Triple test

                     61-70

                Quadruple test*

                     74-81

                Integrated test*

                     94-96

                Stepwise sequential test

                     90-95

                Fetal cell free DNA (Nifty)*

                     98-99

ที่มา : Data from Alldred, 2012; American College of Obstetricians and Gynecologists, 2012b; Cuckle, 2005;Malone, 2005b; Wapner, 2003.

             หากได้รับการตรวจแล้วพบความผิดปกติ มีความจำเป็นต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม คือ การเจาะน้ำคร่ำต่อไป หากผลตรวจได้ผลลบ หรือไม่พบความผิดปกติ จะไม่ทำการเจาะน้ำคร่ำต่อ

     หมายเหตุ

            -การคัดกรองไม่สามารถบอกความผิดปกติได้ร้อยเปอร์เซ็นต์

             -การคัดกรองเป็นการเจาะเลือดของหญิงตั้งครรภ์ไม่สัมพันธ์กับการแท้งบตุร

            -ในการตั้งครรภ์ความเสี่ยงสูงบางกรณี แนะนำให้ทำการเจาะน้ำคร่ำ


แพ็คเกจที่เกี่ยวข้อง

ดูทั้งหมด

โปรแกรมตรวจสุขภาพก่อนดำน้ำ

ข้อมูลเพิ่มเติม

โปรแกรมครอบฟันน้ำนมเด็ก (วัสดุเชรามิก สีเหมือนฟัน Zirconia)

ข้อมูลเพิ่มเติม

ตรวจหาเชื้อและภูมิไวรัสตับอักเสบ เอ บี และซี

ข้อมูลเพิ่มเติม

โปรแกรมตรวจสุขภาพสำหรับท่องเที่ยวที่สูง

ข้อมูลเพิ่มเติม

Long Covid (ตรวจสุขภาพหลังป่วยโควิด)

ข้อมูลเพิ่มเติม

โปรแกรมศัลยกรรมเพื่อความงาม

ข้อมูลเพิ่มเติม

โปรแกรมฝังเข็มเพื่อผิวหน้ากระจ่างใส 5 ครั้ง

ข้อมูลเพิ่มเติม

วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์

ข้อมูลเพิ่มเติม

วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์ (Fast track)

ข้อมูลเพิ่มเติม

โปรแกรมตรวจฮอร์โมนเพศหญิงภาวะประจำเดือนมาไม่ปกติ

ข้อมูลเพิ่มเติม

ตรวจคุณภาพการนอนหลับที่บ้าน (Watch PAT)

ข้อมูลเพิ่มเติม

วัคซีน มือ เท้า ปาก EV71 สำหรับเด็ก 6 เดือน - 5 ปี

ข้อมูลเพิ่มเติม

ตรวจคุณภาพการนอนหลับที่บ้าน (Watch PAT)

ข้อมูลเพิ่มเติม

โปรแกรมคลอดบุตร สมิติเวชชลบุรี

ข้อมูลเพิ่มเติม

วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกชนิด 9 สายพันธุ์

ข้อมูลเพิ่มเติม

บทความที่เกี่ยวข้อง

ดูทั้งหมด

เมื่อลูกน้อย...เท้าบิดหมุนเข้าใน

เด็กที่เดินแล้วมีปลายเท้าชี้เข้าหากัน เกิดจากการบิดหมุนของขาตั้งแต่สะโพกลงมา มีลักษณะการเดินผิดปกติและปัญหาเรื่องความสวยงามของขาที่ผิดรูป การตัดรองเท้าอาจพิจารณาในรายที่เป็นมากจนเท้าสะดุดกันเองเวลาวิ่ง เด็กที่มีเท้าบิดหมุนเข้าใน เด็กที่เดินแล้วมีปลายเท้าชี้เข้าหากันเกิดจากการบิดหมุนของขาตั้งแต่สะโพกลงมา แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ต้นขา หน้าแข้ง และเท้า แต่ละส่วนมีแนวทางการตรวจติดตาม และรักษา แตกต่างกันเล็กน้อย การบิดหมุนของส่วนต้นขา พบมากที่สุด ส่วนใหญ่จะหายได้เอง ก่อนอายุ 10 ปี การดัดและการตัดรองเท้า ไม่ช่วยในการหาย พยายามเลี่ยงการนั่งในท่า W แต่ไม่จำเป็นต้องให้นั่งขัดสมาธิ ในเด็กที่ทำไม่ได้ อาจให้นั่งเหยียดขาแทนเวลานั่งพื้น การตัดรองเท้าอาจพิจารณาในรายที่เป็นมากจนเท้าสะดุดกันเองเวลาวิ่ง การผ่าตัดอาจไม่จำเป็นถ้าไม่มีปัญหาในการดำรงชีวิต และหากจะทำควรทำเมื่อเด็กโตมากแล้ว การบิดหมุนของหน้าแข้ง พบได้น้อยเมื่อเทียบกับบริเวณอื่น ส่วนใหญ่จะหายเองก่อนอายุ 4 ปี การรักษาเบื้องต้นเพียงติดตามอาการเท่านั้น การผ่าตัดอาจไม่จำเป็นถ้าไม่มีปัญหาในการดำรงชีวิต และหากจะทำควรทำเมื่อเด็กโตมากแล้ว การบิดหมุนที่เท้า พบได้ค่อนข้างบ่อย สังเกตได้จากเท้าจะโค้งคล้ายกล้วย ถ้าสามารถดัดได้ง่าย โอกาสหายเองสูง ถ้าดัดได้ยากอาจพิจารณาใส่เฝือกหรือตัดรองเท้าช่วย ส่วนใหญ่หายเองก่อน 4 ขวบ ในกรณีที่ยังเป็นจนโต อาจพิจารณาผ่าตัดในรายที่มีปัญหาการใส่รองเท้า และกังวลเรื่องความสวยงาม