วัคซีนโควิดในหญิงตั้งครรภ์

01 กุมภาพันธ์ 2565


วัคซีนโควิดในหญิงตั้งครรภ์

ปัจจุบันนี้คงไม่มีโรคไหนที่จะอยู่ในความสนใจของสังคมมากไปกว่าโรคโควิด-19 สำหรับหญิงตั้งครรภ์แล้วการติดเชื้อโควิดยังสร้างความกังวลใจเพิ่มขึ้นไปอีก แม้รายงานการติดเชื้อจากแม่ไปสู่ทารกในครรภ์จะพบน้อยมาก และส่วนใหญ่กว่า 90% ของหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อจะมีอาการน้อยและหายจากโรคได้ แต่หญิงตั้งครรภ์ในไตรมาสหลังๆกลับพบว่ามีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อรุนแรงจนต้องนอนรพ.มากกว่าหญิงทั่วไปในวัยเดียวกัน นอกจากนี้ยังเสี่ยงที่จะเกิดการแท้งบุตรหรือคลอดก่อนกำหนดมากขึ้นถึง 2 เท่า

 

จึงเป็นที่มาให้หน่วยงานทางสาธารณสุขทั่วโลกออกคำแนะนำเรื่องการได้รับวัคซีนป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ในหญิงตั้งครรภ์ แนะนำให้หญิงตั้งครรภ์ทุกคนมีโอกาสได้รับวัคซีน โดยในพื้นที่ที่มีความเสียงต่อการติดเชื้อต่ำเริ่มรับวัคซีนได้ตั้งแต่อายุครรภ์ 12 สัปดาห์เป็นต้นไป และสามารถเริ่มให้ได้ทันทีหากอยู่ในพื้นที่เสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อ โดยไม่จำเป็นต้องเว้นการฉีดวัคซีนในหญิงให้นมบุตรหรือหญิงที่วางแผนจะตั้งครรภ์ หากได้รับวัคซีนชนิดอื่นมาอยู่ก่อน แนะนำให้เว้นช่วงจากวัคซีนอื่นอย่างน้อย 2 สัปดาห์

 

ข้อดีของการฉีดวัคซีนนอกจากจะลดโอกาสติดเชื้อและภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากการติดเชื้ออันได้แก่การเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดหรือการแท้งบุตรโดยเฉพาะหญิงที่ตั้งที่มีโรคประจำตัวตัวอยู่เดิมแล้ว จากการศึกษายังพบว่าการฉีดวัคซีนชนิด mRNA ในหญิงตั้งครรภ์สามารถส่งผ่านภูมิคุ้มกันไปยังทารกในครรภ์หรือทางน้ำนมได้ด้วย ส่วนในวัคซีนชนิดอื่นๆนั้นยังไม่มีการศึกษาชัดเจน อย่างไรก็ตามองค์การอนามัยโลกและราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทยแนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อโควิดชนิดใดก็ได้ที่มีให้บริการ ขณะเดียวกันหญิงตั้งครรภ์ควรทราบความเสี่ยงของวัคซีน เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีการศึกษาวิจัยผลของวัคซีนที่มีต่อหญิงตั้งตรรภ์โดยตรงและทำในวัคซีนไม่กี่ชนิด ทำให้ข้อมูลต่างๆมีอยู่จำกัด แม้จะไม่มีรายงานว่าวัคซีนมีผลต่อทารกในครรภ์หรือการตั้งครรภ์แต่ตัววัคซีนเองมีผลข้างเคียง เช่น  ปวดบริเวณที่ฉีด ปวดหัว อ่อนเพลีย ไข้ วัคซีนชนิดตัวพา (viral vector) มีรายงานการเกิดภาวะเลือดแข็งตัวผิดปกติได้ อย่างไรก็ตามภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้พบได้น้อยมากและพบรายงานการเกิดในหญิงตั้งครรภ์ไม่ต่างจากหญิงปกติในวัยเดียวกัน

 

การตัดสินใจว่าจะรับการฉีดวัคซีนหรือไม่ควรคำนึงถึงสองประเด็นหลัก หนึ่งคือหญิงตั้งครรภ์มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อหรือไม่ เช่น มีบุคลากรทางการแพทย์อยู่ในครอบครัว อยู่ในชุมชนที่มีความเสี่ยงสูง จำเป็นต้องติดต่อกับผู้คน หรือมีสมาชิกในครอบครัวจำนวนมาก และสองคือมีความเสี่ยงที่จะมีอาการรุนแรงหากติดเชื้อ เช่น มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับภูมิคุ้มกัน เบาหวาน ความดัน โรคหัวใจ หรือหอบหืด มีภาวะน้ำหนักเกิน อายุมากกว่า 35 ปี และอายุครรภ์เกินกว่า 28 สัปดาห์ หากมีความเสี่ยงทั้งสองข้อแนะนำให้รับการฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อโควิดค่ะ

พญ.รุจา  จรัสสิงห์


พญ.รุจา จรัสสิงห์

ความชำนาญ : สูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา

ข้อมูลเพิ่มเติม

แพ็คเกจที่เกี่ยวข้อง

ดูทั้งหมด

ตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม
ด้วยเครื่องดิจิทัลแมมโมแกรม
(Digital Mammogram)

ข้อมูลเพิ่มเติม

โปรแกรมครอบฟันน้ำนมเด็ก (วัสดุเชรามิก สีเหมือนฟัน Zirconia)

ข้อมูลเพิ่มเติม

ตรวจหาเชื้อและภูมิไวรัสตับอักเสบ เอ บี และซี

ข้อมูลเพิ่มเติม

โปรแกรมตรวจความสมบูรณ์ของทารกในครรภ์

ข้อมูลเพิ่มเติม

โปรแกรมตรวจสุขภาพสำหรับท่องเที่ยวที่สูง

ข้อมูลเพิ่มเติม

โปรแกรมตรวจฮอร์โมนเพศหญิงภาวะประจำเดือนมาไม่ปกติ

ข้อมูลเพิ่มเติม

วัคซีน มือ เท้า ปาก EV71 สำหรับเด็ก 6 เดือน - 5 ปี

ข้อมูลเพิ่มเติม

ตรวจสุขภาพเด็กอายุ 4 - 6ปี

ข้อมูลเพิ่มเติม

โปรแกรมฝังเข็มเพื่อผิวหน้ากระจ่างใส 5 ครั้ง

ข้อมูลเพิ่มเติม

ผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า 1 ข้าง 225,000 บาท

ข้อมูลเพิ่มเติม

โปรแกรมฟื้นฟูร่างกายหลังหายจากโควิด-19

ข้อมูลเพิ่มเติม

วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก 4 สายพันธุ์ (3 เข็ม) HPV vaccine-4 valent

ข้อมูลเพิ่มเติม

โปรแกรมตรวจสุขภาพสำหรับเดินทางต่างประเทศ

ข้อมูลเพิ่มเติม

วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกชนิด 9 สายพันธุ์

ข้อมูลเพิ่มเติม

โปรแกรมตรวจคัดกรอง "โรคมะเร็งตับ"

ข้อมูลเพิ่มเติม

บทความที่เกี่ยวข้อง

ดูทั้งหมด

เมื่อลูกน้อย...เท้าบิดหมุนเข้าใน

เด็กที่เดินแล้วมีปลายเท้าชี้เข้าหากัน เกิดจากการบิดหมุนของขาตั้งแต่สะโพกลงมา มีลักษณะการเดินผิดปกติและปัญหาเรื่องความสวยงามของขาที่ผิดรูป การตัดรองเท้าอาจพิจารณาในรายที่เป็นมากจนเท้าสะดุดกันเองเวลาวิ่ง เด็กที่มีเท้าบิดหมุนเข้าใน เด็กที่เดินแล้วมีปลายเท้าชี้เข้าหากันเกิดจากการบิดหมุนของขาตั้งแต่สะโพกลงมา แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ต้นขา หน้าแข้ง และเท้า แต่ละส่วนมีแนวทางการตรวจติดตาม และรักษา แตกต่างกันเล็กน้อย การบิดหมุนของส่วนต้นขา พบมากที่สุด ส่วนใหญ่จะหายได้เอง ก่อนอายุ 10 ปี การดัดและการตัดรองเท้า ไม่ช่วยในการหาย พยายามเลี่ยงการนั่งในท่า W แต่ไม่จำเป็นต้องให้นั่งขัดสมาธิ ในเด็กที่ทำไม่ได้ อาจให้นั่งเหยียดขาแทนเวลานั่งพื้น การตัดรองเท้าอาจพิจารณาในรายที่เป็นมากจนเท้าสะดุดกันเองเวลาวิ่ง การผ่าตัดอาจไม่จำเป็นถ้าไม่มีปัญหาในการดำรงชีวิต และหากจะทำควรทำเมื่อเด็กโตมากแล้ว การบิดหมุนของหน้าแข้ง พบได้น้อยเมื่อเทียบกับบริเวณอื่น ส่วนใหญ่จะหายเองก่อนอายุ 4 ปี การรักษาเบื้องต้นเพียงติดตามอาการเท่านั้น การผ่าตัดอาจไม่จำเป็นถ้าไม่มีปัญหาในการดำรงชีวิต และหากจะทำควรทำเมื่อเด็กโตมากแล้ว การบิดหมุนที่เท้า พบได้ค่อนข้างบ่อย สังเกตได้จากเท้าจะโค้งคล้ายกล้วย ถ้าสามารถดัดได้ง่าย โอกาสหายเองสูง ถ้าดัดได้ยากอาจพิจารณาใส่เฝือกหรือตัดรองเท้าช่วย ส่วนใหญ่หายเองก่อน 4 ขวบ ในกรณีที่ยังเป็นจนโต อาจพิจารณาผ่าตัดในรายที่มีปัญหาการใส่รองเท้า และกังวลเรื่องความสวยงาม