รู้รอบเรื่องตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ควรตรวจเมื่อไร ถี่ไหม

24 กรกฎาคม 2566


ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกสำคัญแค่ไหน ต้องเริ่มตรวจเมื่อไร

"มะเร็งปากมดลูก” เป็นมะเร็งที่พบได้บ่อยมากเป็นอันดับ 3 ของสตรีไทยและคร่าชีวิตของผู้หญิงไทยเพิ่มมากขึ้นทุกปี ดังนั้น การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกจึงเป็นกระบวนการที่ช่วยให้ตรวจพบเร็วและรับการรักษาได้อย่างทันท่วงทีตั้งแต่ก่อนจะเกิดมะเร็งระยะแรก ๆ ลดอัตราการเสียชีวิต ภาวะแทรกซ้อนจากการรักษาได้ชัดเจน

รู้จักมะเร็งปากมดลูก

มะเร็งปากมดลูก เป็นมะเร็งที่เกิดขึ้นบริเวณปากมดลูก และสามารถป้องกันได้ก่อนกลายเป็นมะเร็ง หรือก่อนระยะลุกลาม ไม่ว่าจะเป็นการฉีดวัคซีน หรือการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก 
    มะเร็งปากมดลูกนั้นแตกต่างจากมะเร็งชนิดอื่น ๆ ตรงที่ทราบสาเหตุหลักของการเกิดได้ค่อนข้างชัดเจน ทำให้สามารถป้องกันและรักษาได้ง่ายกว่าหากตรวจพบในระยะแรก แต่อย่างไรก็ตาม มะเร็งปากมดลูกในระยะแรกนั้นจะยังไม่แสดงอาการใด ๆ ให้สังเกตเห็น ดังนั้น การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเป็นประจำจึงช่วยลดความเสี่ยงที่จะพบเมื่อสายเกินไปจนกลายเป็นระยะลุกลามที่ทำให้เสียชีวิต และเพิ่มโอกาสในการรักษาได้

ผู้หญิงคนไหนเสี่ยงเป็นมะเร็งปากมดลูก

สาเหตุหลักของโรคมะเร็งปากมดลูกเกิดจากเชื้อไวรัสชนิดฮิวแมนแปปปิโลมาไวรัส (Human Papillomavirus) หรือที่เรารู้จักกันในชื่อเอชพีวี (HPV) ซึ่งเชื้อชนิดนี้มักจะติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ โดยกลุ่มที่มีความเสี่ยงมากกว่าคนอื่น ได้แก่ 

  • มีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกตั้งแต่อายุยังน้อย 
  • อายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป 
  • มีคู่นอนหลายคน หรือเปลี่ยนคู่นอนบ่อย 
  • มีบุตร 4 คนขึ้นไป 
  • สูบบุหรี่ 
  • ภูมิคุ้มกันร่างกายบกพร่อง
  • รับประทานยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมนานเกิน 10 ปี
  • ติดเชื้อ Chlamydia หรือ Herpes simplex virus

อย่างไรก็ตาม เมื่อร่างกายได้รับเชื้อ HPV อาจจะไม่ได้พัฒนาเป็นเซลล์มะเร็งทุกราย แต่หากมีปัจจัยกระตุ้นอื่น ๆ เช่น ศักยภาพของเชื้อ HPV การตอบสนองต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง ก็อาจจะพัฒนาเป็นเซลล์มะเร็งได้ในอนาคต 

การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก

การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกจะช่วยให้เราทราบได้ตั้งแต่เซลล์ที่มีเชื้อ HPV ก่อนพัฒนาเป็นเซลล์มะเร็ง หรือช่วง Premalignant Lesions ซึ่งเป็นช่วงที่ไม่แสดงอาการ กล่าวง่าย ๆ คือ ผู้ป่วยจะไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเสี่ยง จนกว่าจะตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก โดยสามารถทำได้ 2 รูปแบบ ดังต่อไปนี้ 

การตรวจเซลล์วิทยา (Pap Smear)

การตรวจแปปสเมียร์ เป็นการตรวจมะเร็งปากมดลูกที่ได้รับความนิยม โดยแพทย์จะใช้เครื่องมือเก็บตัวอย่างเซลล์ที่อยู่ภายในมดลูก จากนั้นตรวจหาเซลล์ที่มีความผิดปกติ หรือเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง 

ตรวจหาเชื้อ HPV

การตรวจหาเชื้อ HPV เป็นการตรวจหาเชื้อไวรัส HPV ในระดับ DNA ซึ่งจะสามารถตรวจพบเชื้อ HPV ก่อนที่จะพัฒนาเป็นเซลล์มะเร็ง จึงช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งปากมดลูกได้

ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกควรตรวจทุกกี่ปี

ใครควรตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก และควรตรวจถี่แค่ไหน

ผู้หญิงหลายคนอาจจะสงสัยว่า เราควรจะเริ่มตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเมื่อไร และควรจะตรวจถี่แค่ไหน วันนี้เรามีคำตอบจากราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทยมาฝากกัน

อายุที่ต้องเริ่มตรวจคัดกรอง

  • ผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์แล้ว ควรจะเริ่มตรวจครั้งแต่อายุ 25 ปีขึ้นไป 
  • ผู้หญิงที่ยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ควรจะตรวจตั้งแต่อายุ 30 ปีขึ้นไป 

 ความถี่ในการตรวจ

  • แบบเซลล์วิทยา (Pap smear) ควรตรวจทุก ๆ 2 ปี 
  • แบบเซลล์วิทยา (Pap smear) พร้อมกับการตรวจหาเชื้อ HPV ควรตรวจทุก ๆ 3 ปี 

 อย่างไรก็ตาม หากว่ามีอายุตั้งแต่ 65-70 ปีขึ้นไป หากผลการตรวจเป็นปกติ 3 ครั้งติดต่อกัน และไม่มีผลที่ผิดปกติในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา อาจจะยกเลิกการตรวจคัดกรองได้ 

การเตรียมตัวตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยวิธี Pap Smear

เพื่อให้ผลตรวจที่ได้มีความถูกต้อง และสามารถตรวจคัดกรองได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ผู้เข้ารับการตรวจควรจะเตรียมตัวดังต่อไปนี้ 

  • หลีกเลี่ยงการตรวจช่วงที่มีประจำเดือน โดยกะเวลาตรวจที่ไม่ตรงกับช่วงที่มีรอบเดือน 
  • งดใช้ยาเหน็บช่องคลอด หรือยาฆ่าเชื้ออสุจิในช่องคลอดก่อนตรวจ 48 ชั่วโมง 
  • งดการมีเพศสัมพันธ์ก่อนตรวจ 24 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย เพื่อให้ผลที่ได้มีความถูกต้องและแม่นยำมากยิ่งขึ้น
  • งดสวนล้างช่องคลอดก่อนการตรวจ เนื่องจากจะทำให้เชื้อโรคถูกชะล้างออกไป ทำให้ไม่สามารถวินิจฉัยได้

ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเป็นประจำ ช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งปากมดลูกได้ หากว่าใครต้องการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกและมะเร็งชนิดอื่น ๆ สามารถติดต่อได้ที่โรงพยาบาลสมิติเวช ชลบุรี สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ 033-038-888
 


แพ็คเกจที่เกี่ยวข้อง

ดูทั้งหมด

ตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม
ด้วยเครื่องดิจิทัลแมมโมแกรม
(Digital Mammogram)

ข้อมูลเพิ่มเติม

โปรแกรมตรวจสุขภาพก่อนดำน้ำ

ข้อมูลเพิ่มเติม

วัคซีน มือ เท้า ปาก EV71 สำหรับเด็ก 6 เดือน - 5 ปี

ข้อมูลเพิ่มเติม

วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก 4 สายพันธุ์ (3 เข็ม) HPV vaccine-4 valent

ข้อมูลเพิ่มเติม

ตรวจสุขภาพเด็กอายุ 4 - 6ปี

ข้อมูลเพิ่มเติม

ประเมินความเสี่ยงโรคอัลไซเมอร์โดยนักกิจกรรมบำบัด

ข้อมูลเพิ่มเติม

โปรแกรมฟื้นฟูร่างกายหลังหายจากโควิด-19

ข้อมูลเพิ่มเติม

แพ็กเกจการคลอดแบบพรีเมียม
รพ.สมิติเวชชลบุรี

ข้อมูลเพิ่มเติม

ตรวจคุณภาพการนอนหลับที่บ้าน (Watch PAT)

ข้อมูลเพิ่มเติม

โปรแกรมตรวจคัดกรอง "โรคมะเร็งตับ"

ข้อมูลเพิ่มเติม

โปรแกรมครอบฟันน้ำนมเด็ก (วัสดุเชรามิก สีเหมือนฟัน Zirconia)

ข้อมูลเพิ่มเติม

ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก

ข้อมูลเพิ่มเติม

โปรแกรมตรวจสุขภาพสำหรับท่องเที่ยวที่สูง

ข้อมูลเพิ่มเติม

โปรแกรมคลอดบุตร สมิติเวชชลบุรี

ข้อมูลเพิ่มเติม

ตรวจคุณภาพการนอนหลับที่บ้าน (Watch PAT)

ข้อมูลเพิ่มเติม

บทความที่เกี่ยวข้อง

ดูทั้งหมด

เมื่อลูกน้อย...เท้าบิดหมุนเข้าใน

เด็กที่เดินแล้วมีปลายเท้าชี้เข้าหากัน เกิดจากการบิดหมุนของขาตั้งแต่สะโพกลงมา มีลักษณะการเดินผิดปกติและปัญหาเรื่องความสวยงามของขาที่ผิดรูป การตัดรองเท้าอาจพิจารณาในรายที่เป็นมากจนเท้าสะดุดกันเองเวลาวิ่ง เด็กที่มีเท้าบิดหมุนเข้าใน เด็กที่เดินแล้วมีปลายเท้าชี้เข้าหากันเกิดจากการบิดหมุนของขาตั้งแต่สะโพกลงมา แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ต้นขา หน้าแข้ง และเท้า แต่ละส่วนมีแนวทางการตรวจติดตาม และรักษา แตกต่างกันเล็กน้อย การบิดหมุนของส่วนต้นขา พบมากที่สุด ส่วนใหญ่จะหายได้เอง ก่อนอายุ 10 ปี การดัดและการตัดรองเท้า ไม่ช่วยในการหาย พยายามเลี่ยงการนั่งในท่า W แต่ไม่จำเป็นต้องให้นั่งขัดสมาธิ ในเด็กที่ทำไม่ได้ อาจให้นั่งเหยียดขาแทนเวลานั่งพื้น การตัดรองเท้าอาจพิจารณาในรายที่เป็นมากจนเท้าสะดุดกันเองเวลาวิ่ง การผ่าตัดอาจไม่จำเป็นถ้าไม่มีปัญหาในการดำรงชีวิต และหากจะทำควรทำเมื่อเด็กโตมากแล้ว การบิดหมุนของหน้าแข้ง พบได้น้อยเมื่อเทียบกับบริเวณอื่น ส่วนใหญ่จะหายเองก่อนอายุ 4 ปี การรักษาเบื้องต้นเพียงติดตามอาการเท่านั้น การผ่าตัดอาจไม่จำเป็นถ้าไม่มีปัญหาในการดำรงชีวิต และหากจะทำควรทำเมื่อเด็กโตมากแล้ว การบิดหมุนที่เท้า พบได้ค่อนข้างบ่อย สังเกตได้จากเท้าจะโค้งคล้ายกล้วย ถ้าสามารถดัดได้ง่าย โอกาสหายเองสูง ถ้าดัดได้ยากอาจพิจารณาใส่เฝือกหรือตัดรองเท้าช่วย ส่วนใหญ่หายเองก่อน 4 ขวบ ในกรณีที่ยังเป็นจนโต อาจพิจารณาผ่าตัดในรายที่มีปัญหาการใส่รองเท้า และกังวลเรื่องความสวยงาม